กว่าที่คนสองคนจะมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ถือว่าเป็นเรื่องยากแล้ว ยิ่งแต่ละฝ่ายมีครอบครัวพ่วงมาด้วยแล้วเกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างครอบครัวของอีกฝ่าย ยิ่งเพิ่มความยากบางรายอาจเป็นความทุกข์เลยทีเดียว ทุกคนอยากมีความสุขจากการได้ใช้ชีวิตกับคนที่ตนรักพร้อมความเข้าใจของครอบครัวอีกฝ่ายซึ่งถือว่าเป็นโชคดีสองชั้น แต่สำหรับคนไหนที่กำลังมีความไม่เข้าใจระหว่างครอบครัวอีกฝ่าย ลองนำวิธีการเปลี่ยนความคิดนี้ไปปรับใช้ดูแล้วพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น
1.ครอบครัวของแฟนก็คือครอบครัวของเรา
ด้วยความที่เขาเติบโตมากับครอบครัวของเขา ย่อมมีความผูกพัน ครั้นพอแต่งงานมีครอบครัวของตนเอง บางทีครอบครัวเดิมอาจจะเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจและอาจเกิดความเห็นต่างในตัวเราผู้มาทีหลังได้ เช่น เขาอาจจะกลัวว่าเราจะมาหลอกลูกของเขา หรือกลัวว่าเราจะเป็นคนที่ใช้ไม่ได้แล้วเกิดปัญหาตามหลัง เกิดการไม่ชอบกันขึ้น จึงอาจมีคำพูดที่กินแหนงแคลงใจกัน
เราผู้มาทีหลังก็มีหน้าที่พิสูจน์ตัวเองว่าเราสามารถรักและดูแลลูก(แฟน)เขาได้ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน การปฏิบัติตนเป็นอย่างดีเสมอต้นเสมอปลายกับครอบครัวของเขาย่อมเกิดความเข้ากันได้กลายเป็นความเข้าใจและสามารถเกิดการยอมรับในที่สุด ทีนี้ก็ไม่มีอุปสรรคในเรื่องครอบครัวอีกฝ่ายมาตั้งแง่อีกต่อไป
2.มองส่วนดีของคนอื่น
ถึงแม้แรก ๆ อาจจะดูห่างเหินไม่สนิทสนมกับครอบครัวเขา เพราะต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่กับครอบครัวเขา ย่อมยังไม่รู้นิสัยใจคอ แต่พอไม่นานเราเริ่มรู้นิสัย ถ้าเราไม่แอนตี้และพยามยามมองส่วนดีของครอบครัวอีกฝ่าย พลังแห่งการส่งความปรารถนาดีออกไปย่อมไปแตะต้องสัมผัสใจครอบครัวอีกฝ่ายให้อ่อนลงได้ ไม่คิดกับเราเกินความเป็นจริง เช่น คิดว่าเราเป็นคนไม่ดี คิดว่าเป็นคนไม่จริงจัง จะมาปอกลอกลูกเขา แต่ถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจใช้ความดีเอาชนะใจ เราก็ถือว่าสอบผ่าน อาจจะวางตัวลำบากในช่วงแรกแต่พอเข้าใจกันแล้วเราอาจเป็นคนที่ครอบครัวอีกฝ่ายคอยแต่จะระลึกถึง ถามไถ่เสมอ
3.ให้ในสิ่งที่ครอบครัวเขาต้องการ
บางครั้งครอบครัวเดิมก็อาจจะต้องการเวลาจากเขาด้วยเหมือนกัน เราไม่ควรกันเขาออกจากครอบครัวเลย ควรพากันไปเยี่ยมครอบครัวบ้าง เหมือนไม่ลืมกัน เพราะการแต่งงานไม่ใช่การตัดขาดญาติพี่น้องครอบครัว แต่สายใยความปรารถนาดียังดำรงอยู่ เชื่อว่าทุกคนก็อยากทราบข่าวคราว อยากให้มาเยี่ยมมาหากันบ้าง ถ้าเราสร้างสัมพันธ์ที่ดีหมั่นไปเยี่ยมครอบครัวเขาเสมอ ถามไถ่ทุกข์สุข ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจและพอใจซึ่งกันและกัน
บางครั้งต่างฝ่ายต่างพูดผ่านคนกลางก็ไม่ทำให้ความเข้าใจกันดีขึ้น ทางที่ดีควรปรับเข้าหากัน อาจจะทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวเขามากขึ้น ไปมาหาสู่กันมากขึ้น ซื้อของติดไม้ติดมือและทำชีวิตให้ดีขึ้น จะทำให้ครอบครัวของเขามองเราในทิศทางที่ดีขึ้นและไม่แอนตี้อีกต่อไปแต่จะมีแต่เสียงชื่นชมเข้ามาแทน